วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

วิธีการทดสอบและคัดเลือกนักแสดง

วิธีการทดสอบและคัดเลือกนักแสดง






            โดยปรกติ ผู้คัดเลือกนักแสดง casting director จะได้รับโจทย์จากทางผู้กำกับหลังจากที่ผู้กำกับได้อ่านบทจบแล้วว่ามีภาพในหัวของตัวละครไว้อย่างไร ถ้าเปรียบเทียบกับดาราซักคนคือประมาณคนไหน บทที่นำมาทดสอบนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเป็นบทจริง จะเป็นบทภาพยนตร์เรื่องใด ๆ ก็ได้ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับบุคลิกที่ต้องการจะค้นหา
            และในบางครั้งผู้กำกับหรือผู้ช่วยผู้กำกับ จะช่วย casting director ในการคิดวิธีคัดเลือกนักแสดง เช่นให้ทดลองบทประมาณไหน มีอุปกรณ์ประกอบฉากเป็นอะไร  รวมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงเรื่องเพื่อทำให้นักแสดงที่มาทดสอบทำความเข้าใจบทได้ไวขึ้น

            ปรกติผู้คัดเลือกนักแสดงจะประสานกับทาง modeling หรือบริษัทจัดหานักแสดง ในการส่งคนมาคัดเลือกตามบุคลิกลักษณะที่ผู้กำกับอยากได้ หรือใช้วิธีเรียกนักแสดงที่เคยร่วมงานหรือมีความคุ้นเคย และทำการทดสอบบทโดยการถ่ายวีดีโอไว้ รวมทั้งกรอกข้อมูลส่วนตัวเพิ่มเติมในการให้ผู้กำกับพิจารณา ส่วนบทรอง ๆ ลงมา ในระบบกองถ่ายภาพยนตร์มักจะใช้ทีมผู้ช่วยผู้กำกับในการคัดเลือกนักแสดง (ซึ่งปรกติเป็นความรับผิดชอบของผู้ช่วย 2 โดยมีผู้ช่วย 1 คอยควบคุมดูแล) หรือในกรณีที่ภาพยนตร์มีต้นทุนไม่สูง ผู้ช่วยผู้กำกับ 2 จะเป็น casting director ด้วย 

การคัดเลือกตัวผู้แสดงมี 3 วิธีคือ
1.วิธีสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว (personal-interview method) ในบรรยากาศที่สบาย ๆ ไม่เครียด casting director หรือ ผู้กำกับจะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผู้แสดงโดยทั่วไป ประสบการณ์ในการแสดง และพูดถึงบทที่มา cast ถ้าผู้แสดงได้อ่านบทแล้วก็ให้แสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ หรือให้อ่านบทบาทของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง และให้ผู้แสดงตีความหมาย วิธีการสัมภาษณ์ส่วนตัวนี้ จะใช้ต่อเมื่อต้องทำ cast ตัวละครที่ไม่มาก และได้ผ่านการกลั่นกรองผู้แสดงมาแล้วจนเหลือจำนวนที่คิดว่าจะมีคุณสมบัติเหมาะสม วิธีนี้ไม่เหมาะที่จะคัดเลือกคนจำนวนไม่มากในวงการนักแสดงอาชีพ เหมาะสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ หรือผู้กำกับและผู้คัดเลือกตัวแสดงไปทาบทามมาสัมภาษณ์เพื่อจะรู้จักให้ดีขึ้น เพื่อมอบบทบาทที่เหมาะสมให้

2.วิธีแสดงสด (improvisational approach) ถ้าผู้แสดงไม่เคยอ่านบทเรื่องนี้มาก่อน ผู้คัดเลือกตัวแสดงหรือผู้กำกับอาจสมมุติสถานการณ์บางอย่างและให้ผู้แสดงแสดงสด (improvise) หรือให้อ่านบทจากเรื่องใดเรืองหนึ่ง แล้วเปลี่ยนสถานการณ์ให้ผู้แสดงลองแสดงปฏิกริยาออกมาสด ๆ วิธีการนี้ ผู้กำกับจะสามารถเห็นความว่องไวในปฏิกริยา ความคล่องตัว ไหวพริบ และความสามารถในการแสดงออกของนักแสดงได้ชัดเจน แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้สมัครที่ไม่เคยมีประสบการณ์มากหรือเขินอาย

3.วิธีคัดเลือกแบบเปิด (open audition หรือ general try-out) ผู้กำกับหรือผู้คัดเลือกนักแสดง จะให้ทุกคนผลัดกันอ่านบทและพูดคุยเกี่ยวกับตัวละคร เกี่ยวกับโครงเรื่องและแนวคิดหลัก theme ถ้าเป็นหนังเพลง อาจให้ร้องเพลง …อาจให้แต่ละคนหรือทีละสองคนอ่านบทจากฉากที่เลือกไว้ อาจอ่านสลับกันเพื่อเปรียบเทียบ ในขณะที่ผู้แสดงอ่านบท ผู้กำกับจะพิจารณาความสามารถในการแสดง คุณภาพ เสียง อารมณ์ รูปร่างลักษณะ เมื่อยืนเทียบเคียงกันว่าเข้าคู่กันได้เหมาะสมหรือไม่ สีสันไปด้วยกันได้ดีเพียงไร จังหวะจะโคนในการพูดและแสดง รวมทั้งลีลาท่าทาง วิธีนี้เป็นการคัดเลือกนักแสดงเป็นกลุ่ม ๆ อาจเหมาะสำหรับการคัดเลือกนักแสดงสำหรับงานละครเวที




เทคนิคการแสดงพื้นฐาน


เทคนิคการแสดงพื้นฐาน

การสร้างความเชื่อ          การแสดงออกซึ่งกิริยาท่าทางของตัวละคร คือการสวมบทบาทของตัวละครในเรื่องนั้น ผู้แสดงจะต้องสร้างความเชื่อให้คนดูเกิดความเชื่อให้ได้ว่าตนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบฉากในเรื่อง เป็นเรื่องจริง ๆ การที่ผู้แสดงจะมีความสามารถตีบทได้อย่างสมจริงนั้น ผู้แสดงจะต้องศึกษาบทละคร ตัวละครที่ตนต้องแสดงอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม นับตั้งแต่บุคลิกลักษณะ นิสัยของตัวละคร กิริยาท่าทาง อารมณ์ของตัวละคร
ในการสร้างความเชื่อให้กับผู้ชมละคร ผู้แสดงจะต้องมีสมาธิ รู้จักการใช้จินตนาการ เห็นภาพลักษณ์ และอุปนิสัยใจคอของตัวละครในบทละคร ถ้าผู้แสดงละครทำให้ผู้ชมเชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นเรื่องจริง แสดงว่าผู้แสดงละครผู้นั้นตีบทแตกได้อย่างสมจริงประหนึ่งว่าผู้แสดงกับตัวละครเป็นบุคคลเดียวกัน หรือกล่าวได้ว่าสามารถเข้าถึงศิลปะของการแสดงละคร




การแสดงร่วมกับผู้อื่น
          การแสดงละคร ผู้แสดงจะต้องแสดงร่วมกับตัวละครอื่น ๆ ในเรื่อง ฉะนั้นในการฝึกซ้อมละคร ผู้แสดงจะต้องฝึกการเจรจากับผู้ร่วมแสดง ไม่ควรท่องบทเพียงลำพังคนเดียว ทั้งนี้เพื่อจะได้สัมผัสกับปฏิกิริยาของตัวละครอื่น ๆ ผู้แสดงต้องแสดงทั้งบทรับ บทส่งตลอดเวลา การมีปฏิกิริยากับผู้อื่น เช่น การฟัง การแสดงกิริยาท่าทาง การรับรู้ด้วยการแสดงสีหน้า พอใจ ไม่พอใจ ดีใจ ยิ้ม หรือหน้าบึ้ง จะช่วยทำให้สามารถเข้าถึงบทบาทของตัวละครได้ลึกซึ้งขึ้น เวลาแสดงจริงจะได้สอดคล้องประสานกัน
ในฉากที่มีตัวละครเป็นจำนวนมาก ที่เป็นตัวประกอบประเภทสัมพันธ์บท เช่น แม่บ้าน คนรับใช้ คนสวนหรือตัวประกอบ ที่เสริมลักษณะเรื่องให้สมจริง อาทิ ประชาชน ทหาร ตำรวจ ไพร่พล ผู้แสดงต้องสื่อประสานได้ทั้งตัวละครที่เป็นตัวเอก ตัวสำคัญ และตัวประกอบ แม้ว่าตัวละครที่เป็นตัวประกอบจะไม่มีบทพูดแต่ก็ต้องแสดงบุคลิกลักษณะให้สมบทบาทตามเนื้อเรื่อง เพราะตัวละครที่แสดงอยู่บนเวทีต่อหน้าผู้ชม จะมีความสำคัญทุกตัว ผู้แสดงละครที่ดี นอกจากจะแสดงบทบาทของตนให้สมจริงแล้ว จะต้องมีทักษะและความสามารถในการร่วมแสดงกับผู้อื่นด้วย

..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/292945

คุณสมบัติของนักแสดงที่ดี

คุณสมบัติของนักแสดงที่ดี

          นักแสดงมีหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญ ผู้ศึกษาวิชาศิลปะการละครจึงควรได้ทราบถึงคุณสมบัติของนักแสดงที่ดี เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์ วิจักษ์ และวิจารณ์การละคร ซึ่งสรุปได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่นักแสดงที่ดีต้องมี คือ
1.             ความงดงามของจิตใจ หมายถึง สำนึกที่ถูกต้อง ซึ่งนักแสดงต้องมีต่อวิชาชีพการแสดงต่อตนเอง และส่วนรวม นักแสดงจะต้องเป็นผู้รักศิลปะของการแสดง มิใช่รักความเด่นความดังของตนเองที่ได้รับจากการแสดง มีสำนึกที่ถูกต้องเกี่ยวกับเป็นนักแสดง และสามารถอุทิศตนเองให้กับศิลปะ เพราะมองเห็นคุณค่าของการแสดงว่าเป็นศิลปะอันลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน อันเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักแสดงทุกคน
2.             ความพร้อมของร่างกาย และเสียง ความสามารถในการครบคุมกล้ามเนื้อทุกส่วนสัดให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามความต้องการของบทบาทอย่างคล่องแคล่ว ไม่ขัดเขิน สามารถใช้ และบังคับเสียงในการพูดหรือร้องเพลง รวมทั้งการหายใจที่ถูกต้อง และความสามารถในการใช้ภาษาพูดเป็นอย่างดี
3.             ความพร้อมของอารมณ์ ความรู้สึก หมายถึง ความสามารถที่จะแสดงออก และถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครแต่ละตัวมาสู่ผู้ชมได้อย่างมีศิลปะ มีวินัย และการควบคุมอย่างเหมาะสม มิใช่เป็นการปล่อยอารมณ์ออกมาโดยขาดการบังคับควบคุมทำให้เกิดแสดงออกที่มากมายเกินขอบเขต จนนักแสดงกลายเป็นทาสของอารมณ์ของตนเอง แทนที่จะใช้เป็นเครื่องมือการแสดง ความพร้อมของอารมณ์ ความรู้สึก ต้องควบคู่กับความพร้อมของร่างกาย และเสียง
4.             ความพร้อมของประสาทสัมผัส การตอบรับของประสาทสัมผัสว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ พูด เดิน นั่ง โต้ตอบ ต้องแสดงให้เกิดความน่าเชื่อถือ เหมือนอยู่ในเหตุการณ์จริงไม่ใช่การแสดง ผลคือทำให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างจริงใจ อันนำไปสู่การแสดงที่ลึกซึ้ง แนบเนียน และมีชีวิตชีวา นักแสดงที่ดีจึงต้องหมั่นฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้มีความพร้อมที่จะนำมาใช้ในการแสดง
5.             สมาธิ นักแสดงที่ดีควรมีสมาธิสูงมาก จนสามารถรวมความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ไปสู่จุดใดจุดหนึ่งตามความต้องการของบทบาทอย่างมีพลัง และจุดหมายที่แน่นอน การมีสมาธิในบทบาท จะช่วยผ่อนคลายความตรึงเครียดของร่างกาย และอารมณ์ ทำให้นักแสดงไม่ประหม่าตื่นกลัว
6.             ความสามารถในการสังเกต นักแสดงต้องเป็นคนช่างสังเกต ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวนักแสดง คือ ครูที่สำคัญยิ่ง การแสดงออกของมนุษย์ในสภาพแวดล้อม และสถานการณ์ต่างๆ กัน หรือลักษณะอากัปกิริยาของคนในวัย หรือฐานะต่างๆ ถ้าขาดการสังเกต มักแสดงด้วยการแสแสร้งแกล้งทำ โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เพราะไม่เคยสังเกตเห็นนั้นเอง การแสดงจึงต้องมาจากอารมณ์ภายใน
7.             ความจำ นักแสดงจะต้องเป็นผู้มีความจำดี เพราะนอกจากจะต้องสามารถจดจำบทบาทการแสดง และทุกสิ่งที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างแม่นยำแล้ว ยังต้องจดจำอารมณ์ ความรู้สึก ทุกสิ่งที่สังเกตเห็น ทุกสิ่งที่เคยได้ยิน เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการแสดง
8.             ความเข้าใจ ผู้เป็นนักแสดงที่ดี จำเป็นต้องมีความเข้าใจในชีวิต และมนุษย์อย่างกว้างขวาง เข้าใจตนเอง และผู้อื่น มีความเข้าใจในบทบาทที่จะแสดง และเข้าใจในศิลปะของการแสดงเป็นอย่างดี ความเข้าใจเหล่านี้ ทำให้ผู้แสดงเข้าถึงบทบาท หรือในวงการละครเรียนว่า ตีบทแตก
9.             วินัย ความตั้งใจจริง และความขยันหมั่นเพียร การขาดสิ่งเหล่านี้ อาจทำลายผลรวมของงานการแสดงละครได้ทั้งหมด
10.      รสนิยมที่ดี การปลูกฝังการศึกษาให้เข้าใจถึงหลักวิชาสำคัญเกี่ยวกับการแสดง ทั้งทฤษฎี ประสบการณ์จากการดูละคร ร่วมงานการละครที่ได้มาตรฐาน และอ่านบทละครที่มีคุณค่า เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจ และปลูกฝังรสนิยมที่ดีงาม จะนำไปสู่การแสดงที่ดี มีคุณภาพ
11.      พรสวรรค์ หมายถึง คุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว ที่มีมาแต่กำเนิด ซึ่งทำให้นักแสดงผู้นั้น มีความสามารถทางด้านการแสดงเป็นพิเศษกว่าผู้อื่น การมีพรสวรรค์นับว่าเป็นข้อดี แต่จำเป็นต้องฝึกฝน เพื่อพัฒนาพรสวรรค์ที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น และสามารถนำมาใช้ตลอดไปได้ จึงจะนับได้ว่าเป็นนักแสดงที่มีความสมบูรณ์ทุกประการ

ที่มาhttps://www.gotoknow.org/posts/327087



เทคนิคการถ่ายวีดีโอให้นิ่งที่สุด โดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง

เทคนิคการถ่ายวีดีโอให้นิ่งที่สุด โดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง







ส่วนใหญ่แล้วช่างภาพวีดีโอมือสมัครเล่นทั่วไป จะชอบถือกล้องในแบบที่ถนัดที่สุด แบบที่สบายที่สุด และแบบที่ถือแล้วไม่เมื่อย แต่มุมมองที่ออกมา ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมภาพสั่นยังกะอยู่ในคลื่นกลางทะเล วิธีที่จะทำให้วีดีโอนั้นไม่สั่นก็ต้องใช้ขาตั้งกล้องนะครับ ขาตั้งกล้องช่วยได้มากทีเดียว และต้องเป็นหัวแพนด้วย ถ้าเป็นหัวบอล ใช้สำหรับกล้องถ่ายภาพนิ่งนะครับ แต่ถ้าเกิดว่าเราไปเที่ยว ถือแค่กล้องถ่ายวีดีโอไปตัวเดียว ไม่อยากเอาขาตั้งกล้องไปด้วย มันใหญ่และเกะกะมาก ผมมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆครับ ที่จะทำให้ได้มุมมองที่สวย และจับถือได้นิ่งมากๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องเลย ขั้นตอนแรกนะครับ ให้ท่านจับกล้องด้วย 2 มือ กุมกล้องไว้ในมือทั้ง 2 จากนั้นยืดแขนออกไปให้สุด เพื่อฟิตกล้ามเนื้อก่อน ซัก 3-5 รอบ แล้วก็เอากล้องมาชิดที่หน้าท้อง ติดหน้าท้องเลยนะครับ ดันให้แน่นๆ เสยมุมกล้องขึ้นบนนิดหน่อยพอสวยงาม จากนั้นก็บิดจอ LCD ขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นจอภาพถนัดๆ จากนั้นก็กด Record ได้เลย ในระหว่างที่ถ่ายอยู่ ต้องใช้มือทั้ง 2 ที่กุมกล้องอยู่ ดันกล้องให้ติดหน้าท้องนะครับ รับรองได้ว่า วีดีโอที่ออกมา สวยและนิ่งใช้ได้เลยครับ แต่ถ่ายไปนานๆ จะรู้สึกเมื่อยนะครับ เพราะต้องกดกล้องเข้าหาหน้าท้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากถ่ายนานๆใช้ขาตั้งหรือโต๊ะ หรือหาอะไรที่มันพอจะวางกล้องได้มันจะดีกว่านะครับ ลองเอาเทคนิคนี้ไปประยุกต์ใช้กันดู หวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับสมาชิกทุกท่านครับ




ที่มา https://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/

เทคนิคการถ่าย


เทคนิคการถ่าย

1. อย่าถ่ายแช่นานเกินไป

2.อย่ายกกล้องไปมาแทนสายตา

3.ถ้าเหตุการณ์นั้นยังไม่สิ้นสุด อย่าหยุดถ่ายกลางคัน

4.อย่าZoom หรือ Pan ขณะถ่าย บ่อยเกินไป

5.หาจุดจบที่ทำให้สนใจ

6.พยายามมองหาจุดที่น่าสนใจรอบๆตัวเพื่อจะได้ไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญหลักการง่ายๆแค่นี้ ท่านก็จะได้ภาพที่ดูดี ระดับมืออาชีพแล้ว


7. ถือกล้องให้นิ่ง อย่าสั่น เทคนิคง่ายๆคือกลั้นหายใจ หรือหายใจเบาๆ ขณะที่กด record


ที่มา https://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/

เทคนิคการถ่ายวีดีโอ


เทคนิคการถ่ายวีดีโอ




ปัจจุบันกล้องวีดีโอมีอยู่หลายประเภท เช่น แบบ Handycam(กล้องขนาดเล็ก) กล้องแบบมืออาชีพ(ขนาดใหญ่) แต่หลักการและเทคนิคการถ่ายจะเหมือนๆกัน ก่อนอื่นเรามาทราบถึงประเภทของสื่อที่ใช้บันทึกภาพของกล้องวีดีโอก่อนว่าปัจจุบันมีอยู่กี่แบบ

1.แบบใช้ม้วนเทป ปัจจุบันเหลือเพียง miniDV เป็นส่วนใหญ่

2.แบบใช้แผ่น ซึ่งจะใช้แผ่น mini DVD เป็นตัวเก็บข้อมูล

3.แบบใช้ Hard Disk ปัจจุบันมีให้เลือกหลายขนาดของความจุ เช่น 30 GB, 60 GB ต้น

4.แบบใช้ Memory card เช่น SD, Memory Stick, XDcard เป็นต้น

ที่มา https://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/

ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น



ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น
ขั้นที่1 หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ

การตัดต่อ การประเมินผล

ขึ้นที่2 หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึง ผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิคครับ

ขั้นที่3 เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ

ขั้นที่4 บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา

เรื่องบทนี้จะมี หลายแบบ

– บทแบบสมบูรณ์ ประมาณว่า เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูดครับ

– บทแบบอย่างย่อ ประมาณว่า เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง

– บทแบบเฉพาะ

– บทแบบร่างกำหนด

ขั้นที่5 การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากคุณต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบนะเยอะมาก ผมพูดรวมๆละกัน มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้

ขั้นที่6 ค้นหามุมกล้อง

– มุมคนดู ประมาณว่า เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆครับ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ

– มุมแทนสายตา

– มุมพ้อยออฟวิว มุมนี้แนะนำให้ใช้เยอะๆครับ สวยมากมุมนี้ในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ครับ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ ครับ



ขั้นที่7 การเคลื่อนไหวของกล้อง

– การแพน การทิลท์ ประมาณว่า การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันกันครับ

– การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหวเลยครับ

– การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพครับ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง

ขั้นที่8 เทคนิคการถ่าย

เอาเป็นว่าจับกล้องให้มั่นนะครับ อย่างผมก็จะจับ แบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลยครับ

และก็ไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็วนะครับ กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอครับ

ขั้นที่9 หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟก ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่อง อักษรหนังสือ

ขั้นที่10 การตัดต่อ

1.จัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้งครับอย่าให้ขัดอารมณ์

2.จัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่เราวางไว้ครับ

3.แก้ไขข้อบกพร่องครับ

4.เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม


ที่มาhttps://joynaka23.wordpress.com/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A0/

ทีมงานการทำหนังสั้น



ทีมงานการทำหนังสั้น





1.ผู้กำกับ คนนี้สำคัญที่สุด นั้นก็คือคุณน่ะแหละครับ ก่อนหน้านี้ก็เกริ่นมาเล็กน้อยครับว่าผู้กำกับต้องทำอะไรบ้าง แต่นั้นเป็นในส่วนของการเตรียมตัวและเตรียมงาน แต่เมื่อมาอยู่หน้ากอง ผู้กำกับคือผู้ที่กำหนดทิศทางของหนังให้เป็นไปตามใจที่เขาหรือเธอผู้นั้นต้องการ
โดยสิ่งหนึ่งที่ผู้กำกับแต่ล่ะคนจำเป็นจะต้องมี ขาดไปไม่ได้เป็นอันขาด นั่นคือสมาธิครับ การจิตจดจ่ออยู่กับงานที่ทำอยู่ตรงหน้า งานที่ว่านั้นก็หมายถึง คอยควบคุมนักแสดง กำกับให้เขาแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นไปตามบทบาทที่เราได้สร้างขึ้น และยังรวมไปถึงงานอื่นๆ เช่น การดูว่าตากล้องสามารถถ่ายภาพวางมุมกล้องออกมาได้อย่างที่เคยมีการตกลงกันก่อนหน้านี้ไหม หรือว่าเสียงโอเคหรือเปล่า ตัวละครมีบทพูดตรงตามที่เขียนไว้ไหม? จงจำไว้นะครับว่าจะต้องมีสมาธิอยู่ตลอดระหว่างการทำงาน หายไปไม่ได้เลย

2.ผู้ช่วยผู้กำกับ อย่าที่เกริ่นไว้ มีหน้าที่เป็น “แขนขา” ของผู้กำกับ เพราะในขณะที่ผู้กำกับกำลังคิดถึงงานที่อยู่ตรงหน้า ผู้ช่วยฯก็จะมาคิดถึงการทำให้งานมันเดินหน้าไปได้ หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือการลดภาระของผู้กำกับลงไป เพราะแทนที่จะต้องมานั่งคิดว่า ต่อไปจะต้องถ่ายฉากไหน แล้วมีใครเข้าฉากบ้าง ฉากนี้ควรจะถ่ายถึงกี่โมงเพื่อให้เสร็จภายในเวลาที่มีอยู่ นักแสดงแต่งหน้าอยู่ เมื่อต้องเข้าฉาก ผู้ช่วยฯก็เป็นคนไปตามนักแสดงนั้นๆ เรื่องเหล่านี้เป็นหน้าที่ของผู้ช่วยแหละครับที่จะต้องคิด
แล้วผู้ช่วยผู้กำกับต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ประการแรกต้องใจเย็นครับ มีความอดทน เพราะการต้องประสานงานกับหลายๆ ฝ่ายอาจจะทำให้มีเรื่องกระทบกระทั่งบ้าง ก็ต้องขันติเข้าข่มไว้ และอีกอย่างคือ จะต้องมีความตื่นตัวต่อทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่หลุกหลิกไปกับสิ่งเร้าอื่นใด และนอกจากนี้ก็ยังจะต้องมีความคล่องตัว รวดเร็ว ฉับไว

3.ผู้จัดการกองถ่าย หลักๆ คือดูแลเรื่องการเงิน ว่าใช้จ่ายไปเท่าไหร่ แล้วคอยให้คำแนะนำ (แกมบังคับ) แก่ทีมงานว่า ควรจะใช้งบเท่าไหร่เพื่อการซื้อหรือทำอะไรสักอย่าง ว่าง่ายๆ ก็คือหน้าที่ควบคุมให้ระบบการเงินในกองถ่ายราบรื่น เป็นไปด้วยความเหมาะสมตามงบที่มีอยู่ หน้าที่นี้จำเป็นจะต้องอาศัยผู้มีความละเอียดรอบคอบในการทำงาน และมีสายตาที่ปราดเปรียวว่องไว เมื่อเห็นอะไรที่ผิดปรกติ เช่น กำลังจะมีคนใช้เงินเกินงบทั้งๆ ที่สามารถประหยัดได้มากกว่านั้น ผู้จัดการกองถ่ายจะต้องรู้ก่อนและแก้ไขได้ทันท่วงที

4.ตากล้อง/ผู้กำกับภาพ ไม่ใช่แค่เอากล้องมาวางแล้วก็ถ่ายอย่างเดียวนะครับ แต่จะต้องตีความตามบทหนังที่อ่าน และถ้ามีสตอรี่บอร์ดก็ต้องถ่ายตามนั้น โดยที่จะต้องช่วยเหลือด้านเทคนิคเพื่อให้ได้ภาพอย่างที่ผู้กำกับต้องการ หรือหากภาพที่วางไว้ในสตอรี่บอร์ดมันเกิดไม่ใช่ นั่นแปลว่าผู้กำกับภาพต้องรู้เรื่ององค์ประกอบภาพ (การวางตำแหน่งวัตถุต่างๆ เวลาอยู่ในเฟรมให้ดูดี) รวมถึงรู้วิธีเลือกใช้ขนาดภาพให้เหมาะสมในคัตที่กำลังถ่ายๆ อยู่ และสามารถหาหนทางอื่นมาเป็นทางออกให้แก่ผู้กำกับได้ แต่แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วดวงตาของผู้กำกับภาพ ย่อมจะต้องเป็นดวงตาอันเดียวกับของผู้กำกับ

5.คนบันทึกเสียง สำคัญไม่น้อยกว่าภาพเลย เพราะถ้าเสียงไม่ดีฟังที่ตัวละครพูดไม่รู้เรื่องนี้จบกัน คนบันทึกเสียงไม่ได้แค่ทำหน้าที่บันทึกเสียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคอยช่วยผู้กำกับดูว่า ก่อนถ่ายเมื่อไปดูโลเคชั่น ก็จะบอกได้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับการอัดเสียงเพื่อที่จะแก้ไขได้ หรือระหว่างถ่าย ก็คอยดูว่าช่วงไหนอัดเสียงได้ไม่ได้ เพื่อที่จะสามารถทำให้ได้เนื้อเสียงที่มีคุณภาพดีไปใช้ในการทำงานด้าน post production

ที่มา http://pimpikasusuza.blogspot.com/2015/11/blog-post_22.html

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ความรู้พื้นฐานในการสร้างการสร้าง "วีดีโอ / หนังสั้น"


การสร้างวีดีโอ

การสร้างคลิปวีดีโอนั้น แม้ว่าเรามาภาพต้นฉบับดีๆ วีดีโอสวยๆ มีเสียงเพลงเพราะๆ มีคอมพิวเตอร์และโปรแกรมที่ดี ก็ใช่ว่าเราจะสร้างงานออกมาแล้วจะดีไปด้วย ความน่าสนใจของคลิปวีดีโอ ต้องอาศัยจินตนาการ, ความคิดสร้างสรรค์ ในทุกๆ ขั้นตอนของกระบวนการ"ผลิต" โดยหลักการทางทฤษฎีแล้วประกอบด้วย 3 ขั้นตอน หรือ 3 P

- Pre-Production คือ การเตรียมการก่อนการผลิต
- Production คือ การดำเนินการถ่ายทำ
- Post-Production คือ การตัดต่อและการนำเสนอ



ดังนั้น การจะสร้างงานออกมาให้ดีและเป็นที่น่าสนใจ เราจำเป็นต้องเตรียมการในเรื่องเหล่านี้
- Concept & Theme
- Script & Story Board


Concept & Theme
เป็นการกำหนดแนวคิดและทิศทางของคลิปวีดีโอเรา รวมถึงรูปแบบในการนำเสนอ เช่น คลิป"ส่งเสริมการปั่นจักรยานเพื่อการท่องเที่ยว" มี Concept คือ ต้องนำเสนอความสนุกสนานในการปั่นจักรยานไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ดังนั้น Theme ของเรื่องนี้ก็คือ สถานที่และเส้นทาง ที่สวยงาม ... ซึ่งจะส่งผลต่อ Script และ Storyboard จะต้องดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน

Script
สคริปต์ หรือ บท คือรายละเอียดของตัวละคร, ฉาก, มุมกล้อง, การตัดต่อ, ตัวหนังสือ, เสียงประกอบ ... ฯลฯ ทุกอย่างต้องระบุในสคริปต์ทั้งหมด เพื่อให้ได้ผลลัพท์ตามที่ต้องการ

Story board

ตามหลักการของการสร้างภาพยนตร์ เป็นภาพวาดแบบร่าง ที่สร้างขึ้นจากสคริปต์ หากระบุรายละเอียดได้มาก การทำงานจะสะดวกมากขึ้น
ในทางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จะสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวแบบ 3D-Animation บันทึกเสียงประกอบแบบภาพยนตร์จริงๆ
... แต่สำหรับระดับเราๆ สร้างคลิปวีดีโออัพขึ้น Youtube คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น

เอาแบบง่ายๆ ก็คือภาพ sketch ใน shot ต่างๆ พร้อมคำบรรยาย หรือ บทสนทนา เป็นการช่วบลำดับเหตุการณ์


ตารางสำหรับบันทึก story board

ส่วนประกอบของ Story Board

ตัวละคร / ฉาก / เรื่องราว
มุมกล้อง
เสียง / คำบรรยาย
เวลา



ตัวอย่าง Story Board




ประโยชน์ของ Story Board

ช่วยควบคุมเรื่องราวให้อยู่ใน Concept ที่วางไว้
ลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลัง
ทราบเวลาที่ใช้คร่าาวๆ



ดังนั้นพอสรุปขั้นตอนคร่าวๆ ได้ดังนี้

กำหนด Theme
เขียนเรื่องย่อ
กำหนดตัวละคร / ฉาก
เขียนบท
เขียน Story Board
ถ่ายทำ -> ภาพนิ่ง/วีดีโอ
ตัดต่อ -> Sony vegas
นำเสนอผลงาน --> Youtube



http://www.tigersmile.net/2014/10/blog-post.html

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

รู้จักหนังสั้น

หนังสั้น คือ หนังยาวที่สั้น ก็คือการเล่าเรื่องด้วยภาพและเสียงที่มีประเด็นเดียวสั้น ๆ แต่ได้ใจความ ศิลปะการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นิยาย ละคร หรือภาพยนตร์ ล้วนแล้วแต่มีรากฐานแบบเดียวกัน นั่นคือ การเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของมนุษย์หรือสัตว์ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นช่วงเวลาหนึ่งเวลาใด ณ สถานที่ใดที่หนึ่งเสมอ ฉะนั้น องค์ประกอบที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ตัวละคร สถานที่ และเวลา





http://www.tigersmile.net/2014/10/blog-post.html